ข่าวการศึกษา

วันนี้ (21 พ.ค.) ศ.ดร.เอกชย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีนักวิชาการออกมาติงเรื่องข้อเสนอของบอร์ดกพฐ.ในการแบ่งกลุ่มโรงเรียนรับนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก เป็นโรงเรียนที่รับเด็กจากทั่วประเทศด้วยการสอบ 100% และ กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่รับเด็กในเขตพื้นที่บริการเหมือนในปัจจุบันอาจส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำแต่อย่างใด เพราะในเมื่อเด็กเก่งได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตนเอง

เพราะทุกวันนี้โรงเรียนทั่วประเทศมีคุณภาพไม่เท่ากัน แต่ในความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องคุณภาพโรงเรียนที่ไม่ใช่โรงเรียนแข่งขันสูงก็ต้องดึงศักยภาพของตัวเองสร้างจุดเด่นพัฒนาให้เป็นโรงเรียนดังให้ได้ หรือแม้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลก็ไม่จำเป็นว่าโรงเรียนจะต้องเป็นโรงเรียนดัง

แต่โรงเรียนสามารถทำให้เด็กได้เรียนกับครูที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเด็กที่เรียนในโรงเรียนดัง เช่น โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย เป็นต้น โดยการทำเทคโนโลยีมาใช้บันทึกการสอนของครูเก่งๆให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้เรียน อีกทั้งเกณฑ์รับนักเรียนแนวทางนี้ยังเป็นช่องทางสกัดปัญหาทุจริตและการเรียกรับเงินแลกที่นั่งเรียนหรือแป๊ะเจี๊ยให้หมดไปอย่างแน่นอน

ประธาน กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อกังวลว่าเด็กจะแห่ไปกวดวิชามากขึ้นนั้น เรื่องนี้เราต้องเปลี่ยนวิธีการออกข้อสอบให้เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ พร้อมกับทักษะที่เด็กควรจะมีและพร้อมเรียน เพราะเด็กก็รู้เนื้อหาการเรียนอยู่แล้ว

ดังนั้นเมื่อเราปรับวิธีสอบเป็นคิดวิเคราะห์เชื่อได้เลยว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่มีทางสอนได้ และการเด็กแห่ไปเรียนกวดวิชาก็จะหมดไปเอง

ขณะเดียวกันกันการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขยายโอกาสก็ควรจะสนับสนุนการเรียนสายอาชีพมากกว่าการขยายไปสู่รูปแบบการเรียนสามัญ โดยปรับให้เหมาะกับบริบทกับพื้นที่และชุมชนนั้น

อย่างไรก็ตามเร็วๆนี้ตนจะเสนอ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ ปฎิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้มีการตั้งคณะกรรมการปรับปรุงเกณฑ์รับนักเรียน ปี 2563 ซึ่งตนมีแนวคิดจะเสนอให้ปรับลดการรับนักเรียนในโรงเรียนที่มีอัตราแข่งขันสูงจากเดิม รับ 40 คนต่อห้อง เหลือเป็น 35 คนต่อห้อง เพื่อกระจายเด็กไปเรียนในโรงเรียนอื่นได้บ้าง

ที่มาจาก www.dailynews.co.th