นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดแผนปฏิบัติการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ได้หารือกับคณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเห็นควรปรับแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มสำหรับครู โดยยังคงเดินหน้าปฏิรูปหลักสูตร ให้การศึกษาพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ เจตคติและทักษะให้ทำงานเป็น ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้ดี
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า แผนปฏิบัติการที่ได้ปรับปรุงใหม่มีสาระสำคัญ ดังนี้
ประการแรก วางแผนนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้ในกรอบเวลา 3 ปี คือ
- ปีการศึกษา 2565 ศธ.เริ่มใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ สำหรับระดับประถมศึกษา ในโรงเรียนที่มีความพร้อม
- ปีการศึกษา 2566 หลักสูตรฐานสมรรถนะระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนที่มีความพร้อมและทุกโรงเรียนในระดับประถมศึกษา
- ปีการศึกษา 2567 ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนทุกโรง
ประการที่สอง ปรับปรุงสมรรถนะจากเดิมที่มี 5 ด้านโดยพิจารณาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กไทยในโลกปัจจุบัน เป็นสมรรถนะ 6 ด้าน ประกอบด้วย
1.การจัดการตนเองอย่างมีสุขภาวะ
2.การคิดขั้นสูงและการเรียนรู้
3.การสื่อสารด้วยภาษา
4.การจัดการและการทำงานเป็นทีม
5.การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง
6.การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน
โดยเน้นมิติด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์และความเป็นไทยมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มสมรรถนะ “การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน” เพื่อให้เด็กไทยมีสมรรถนะทั้งด้านวิทยาศาสตร์ รู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน
- หลักสูตรฐานสมรรถนะใหม่นี้แตกต่างจากเดิมในสาระสำคัญ
– เช่น ช่วงชั้นประถมศึกษาตอนต้น หรือ ชั้น ป.1-ป.3 เวลาเรียนลดลง ลดจาก 1,000 ชั่วโมงเป็น 800 ชั่วโมง
– ปลดล็อกด้านตัวชี้วัด เด็กเรียน 7 สาระการเรียนรู้ แทน 8 สาระการเรียนรู้ เป็นต้นทั้งนี้ - คณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรฯ จะนำแผนที่ปรับเปลี่ยนใหม่ดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) คาดว่าจะจัดให้นำร่องทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้ประมาณวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยจะทยอยเผยแพร่คู่มือ หลักสูตร ที่มีตัวอย่างสถานการณ์และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปรับใช้ในพื้นที่และในรูปแบบการสอนออนไลน์ได้”น.ส.ตรีนุช กล่าว
ทางบ้านของครู เชื่อว่า การปรับเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ น่าจะช่วยแก้ปัญหาการศึกษาแบบเก่าได้ เพราะเรายังใช้หลักสูตรที่ก้าวตามไม่ทันกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จริงๆแล้วบางเนื้อหาวิชา อาจมีความจำเป็นมากในอดีต แต่อาจไม่มีความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคตสักเท่าไหร่ ถ้าหากเราอยากก้าวทันโลกภายนอกจึงต้องให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากกว่าอย่างอื่น และให้ครูได้สอนนักเรียนจริงๆไม่ใช่ มีนโยบายรายวันที่ดึงครูออกจากห้องเรียน และดึงครูออกจากห้องเรียนโดนการเพิ่มภาระจากการประเมินที่มาในคาบความหวังดีในทางทฤษฎีแต่ทางปฏิบัติกลับเพิ่มภาระของโรงเรียนและครูโดยแท้